เดือน: กุมภาพันธ์ 2023

กลับบ้านมาหาพระเจ้า

เย็นวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังวิ่งออกกำลังอยู่ใกล้กับไซต์ก่อสร้างในละแวกบ้าน ลูกแมวตัวผอมสกปรกร้องเหมียวอย่างเศร้าๆให้ฉัน และตามฉันกลับบ้าน ในวันนี้มิคกี้เป็นแมวโตเต็มวัยที่มีสุขภาพดีหน้าตาหล่อเหลา มีความสุขกับชีวิตอันแสนสบายในบ้านของเราและเป็นที่รักอย่างมากของครอบครัวฉัน ทุกครั้งที่ฉันไปวิ่งบนถนนเส้นนั้นที่ฉันเจอมัน ฉันมักนึกในใจว่า ขอบคุณพระเจ้า มิคกี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างถนนแล้ว มันมีบ้านแล้วตอนนี้

สดุดีบทที่ 91 กล่าวถึงคนเหล่านั้นที่ “อาศัยอยู่ ณ ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด” (ข้อ 1) ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้า คำฮีบรูว่า อาศัย ในที่นี้มีความหมายว่า “คงอยู่ อาศัยอยู่ถาวร” เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยให้เราใช้ชีวิตด้วยสติปัญญาของพระองค์และรักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด (ข้อ 14; ยน.15:10) พระเจ้าทรงสัญญากับเราถึงความสุขของการได้อยู่กับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ และสัญญาถึงความมั่นคงปลอดภัยภายใต้การทรงสถิตอยู่ของพระองค์ในท่ามกลางความยากลำบากของโลกนี้ แม้จะมีปัญหาผ่านเข้ามา แต่เราสามารถพักสงบในการครอบครอง ในสติปัญญา ความรัก และพระสัญญาของพระองค์ที่จะปกป้องและช่วยกู้เราได้

เมื่อเราให้พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยของเรา เราก็ได้อาศัยอยู่ “ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” (สดด.91:1) ไม่มีปัญหาใดจะเข้ามาใกล้เราได้นอกจากที่พระปัญญาและความรักของพระองค์จะอนุญาต นี่คือความปลอดภัยเมื่อพระเจ้าทรงเป็นบ้านของเรา

มองเห็นพระเยซู

ในวัยสี่เดือนลีโอไม่เคยมองเห็นพ่อแม่ เขาเกิดมาพร้อมกับอาการซึ่งพบได้น้อยมากที่ทำให้สายตาของเขาพร่ามัว สำหรับลีโอแล้วมันเหมือนกับการมีชีวิตอยู่ในหมอกหนาทึบ แต่ภายหลังจักษุแพทย์ได้ทำแว่นตาพิเศษให้กับเขา

พ่อของลีโอโพสต์วิดีโอตอนที่แม่ของเขาสวมแว่นตาให้เขาครั้งแรก เรามองดูตาของลีโอค่อยๆโฟกัส รอยยิ้มฉีกกว้างบนใบหน้าของเขาเมื่อเขามองเห็นแม่อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ช่างเป็นอะไรที่มีค่านัก ณ ช่วงเวลานั้นที่ลีโอได้มองเห็นอย่างชัดเจน

ยอห์นบันทึกบทสนทนาของพระเยซูกับพวกสาวก ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น” (ยน.14:8) แม้จะผ่านช่วงเวลาทั้งหมดมาด้วยกัน สาวกของพระเยซูก็ยังจำผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ได้ พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” (ข้อ10) ก่อนหน้านั้นพระองค์ได้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ข้อ 6) นี่คือคำตรัสครั้งที่หกจากเจ็ดครั้งที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” พระองค์กำลังบอกให้เรามองผ่านแว่นตาของคำว่า “เราเป็น” เหล่านี้เพื่อจะเห็นผู้ที่พระองค์ทรงเป็นอย่างแท้จริง นั่นคือพระเจ้าพระองค์เอง

พวกเราก็เหมือนกับเหล่าสาวก ในเวลายากลำบาก เราล้มลุกคลุกคลานและเริ่มมีสายตาพร่าเลือน เราไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำและสามารถกระทำได้ เมื่อลีโอตัวน้อยสวมแว่นตาพิเศษนั้น เขามองเห็นพ่อแม่ได้ชัดเจน บางทีเราอาจต้องสวมแว่นตาของพระเจ้าเพื่อที่เราจะเห็นว่าพระเยซูเป็นใครได้อย่างชัดเจน

อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่

ฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์แล้วถอนหายใจ ความกังวลทำให้คิ้วขมวด ฉันกับเพื่อนมีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรงในเรื่องที่เกี่ยวกับลูกของเรา และฉันรู้ว่าฉันต้องโทรไปขอโทษเธอ ฉันไม่อยากทำเพราะความเห็นของเรายังขัดแย้งกันอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่าฉันไม่ได้อ่อนโยนหรือถ่อมใจตอนเราถกประเด็นนี้กันครั้งที่แล้ว

ขณะที่รอโทรศัพท์ฉันนึกสงสัยว่า ถ้าเธอไม่ยกโทษให้ฉันล่ะ ถ้าเธอไม่อยากรักษามิตรภาพนี้ไว้แล้วล่ะ แล้วตอนนั้นเนื้อเพลงก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน นำฉันกลับไปยังช่วงเวลาที่ฉันสารภาพบาปของฉันในสถานการณ์นั้นต่อพระเจ้า ฉันรู้สึกโล่งใจเพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงให้อภัยแล้วและปลดปล่อยฉันจากความรู้สึกผิด

เมื่อเราพยายามจะแก้ปัญหาความสัมพันธ์ เราไม่สามารถควบคุมวิธีที่คนอื่นจะตอบสนองต่อเราได้ แต่ตราบใดที่เรายอมรับผิดในส่วนของเรา ทูลขอการอภัยด้วยใจถ่อมและเปลี่ยนแปลงในส่วนที่จำเป็น เราก็สามารถยอมให้พระเจ้าทรงนำการเยียวยารักษามาได้ แม้เราจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดจาก “ปัญหาเรื่องคน” ที่ยังไม่ถูกแก้ไข แต่เรามีสันติสุขกับพระเจ้าได้ อ้อมแขนของพระเจ้าทรงเปิดอยู่ และพระองค์ทรงคอยที่จะสำแดงพระคุณและพระเมตตาที่เราต้องการ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา” (1 ยน.1:9)

ผู้เลี้ยงแกะที่ดี

เมื่อศิษยาภิบาลวอร์เรนได้ยินว่าชายคนหนึ่งในโบสถ์ของเขาละทิ้งภรรยาและครอบครัวไป เขาทูลขอให้พระเจ้าช่วยให้เขาได้พบกับชายคนนั้นโดยบังเอิญเพื่อจะมีโอกาสพูดคุยกัน แล้วเขาก็ได้พบจริงๆ! ขณะที่วอร์เรนเดินเข้าไปในร้านอาหาร เขามองเห็นชายคนนี้ที่โต๊ะใกล้ๆ “มีที่ว่างสำหรับคนหิวอีกคนหนึ่งไหม” เขาถาม จากนั้นพวกเขาได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งและอธิษฐานด้วยกัน

ในฐานะศิษยาภิบาล วอร์เรนกำลังทำหน้าที่เหมือนผู้เลี้ยงแกะให้คนในโบสถ์ของเขา ดังที่พระเจ้าเองตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตามหาแกะของพระองค์ที่กระจัดกระจายไป ช่วยชีวิตและรวบรวมแกะเหล่านั้นไว้ (อสค.34:12-13) พระองค์จะ “เลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดี” และ “จะเที่ยวหาแกะที่หายและเราจะนำแกะที่หลงกลับมา” พระองค์จะทรง “พันผ้าให้แกะที่กระดูกหักและเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย” (ข้อ14-16) ความรักของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ได้สะท้อนผ่านภาพเหล่านี้ แม้ถ้อยคำของเอเสเคียลจะพยากรณ์ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะกระทำในอนาคต แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์ของพระเจ้าและพระผู้เลี้ยงที่วันหนึ่งจะสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู

ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเราทุกคน ทรงตามหาเพื่อจะช่วยกู้และปกป้องเราไว้ในลานหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ พระองค์ทรงรอคอยที่เราจะติดตามผู้เลี้ยงที่ดี ผู้ทรงสละชีวิตเพื่อแกะของพระองค์ (ดู ยน.10:14-15)

ชายผู้โดดเดี่ยวที่สุด

วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1969 นีล อาร์มสตรองและบัซซ์ อัลดรินก้าวออกจากยานที่ร่อนลงจอดบนดวงจันทร์และกลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เดินบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่เรามักไม่ค่อยนึกถึงบุคคลที่สามในทีมของพวกเขา นั่นคือ ไมเคิล คอลลินส์ ผู้เป็นคนขับยานบังคับการของยานอพอลโล 11

หลังจากที่เพื่อนร่วมทีมของเขาปีนบันไดลงไปเพื่อทดสอบพื้นผิวดวงจันทร์ คอลลินส์รออยู่ตามลำพังที่อีกด้านซึ่งไกลออกไปของดวงจันทร์ เขาขาดการติดต่อกับทั้งนีล บัซซ์และทุกคนบนโลก ศูนย์ควบควบขององค์การนาซ่ากล่าวว่า “ตั้งแต่อาดัมมาก็ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้จักความโดดเดี่ยวเท่าไมค์ คอลลินส์เลย”

หลายครั้งเรารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก ลองนึกถึงความรู้สึกของโยเซฟบุตรชายของยาโคบดู เมื่อเขาถูกนำตัวจากอิสราเอลไปยังอียิปต์หลังจากที่ถูกพวกพี่ชายขาย (ปฐก.37:23-28) จากนั้นเขายิ่งถูกผลักสู่ความโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีกโดยการถูกขังในคุกด้วยข้อกล่าวหาเท็จ (39:19-20)

โยเซฟมีชีวิตรอดในคุกต่างแดนโดยไม่มีครอบครัวอยู่ใกล้เลยได้อย่างไร จงฟังข้อนี้ “ขณะที่โยเซฟจำคุกอยู่ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา” (ข้อ 20-21) เราถูกย้ำเตือนถึงความจริงที่ปลอบประโลมนี้ถึงสี่ครั้งในปฐมกาล 39

คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกแยกจากผู้อื่นหรือไม่ จงยึดมั่นในความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ตามที่พระเยซูเองได้ทรงสัญญาไว้ว่า “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป” (มธ.28:20) คุณไม่เคยอยู่คนเดียว เมื่อคุณมีพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ฉันทำได้แค่จินตนาการ

ฉันนั่งลงบนม้านั่งในโบสถ์ข้างหลังผู้หญิงคนหนึ่งขณะที่ทีมนมัสการเริ่มบรรเลงเพลง “ฉันทำได้แค่จินตนาการ (I Can Only Imagine)” ฉันยกมือขึ้นสรรเสริญพระเจ้าขณะที่เสียงโซปราโนอันไพเราะของผู้หญิงประสานกับเสียงของฉัน หลังจากที่เธอบอกฉันเรื่องปัญหาสุขภาพ เราตัดสินใจที่จะอธิษฐานด้วยกันในระหว่างขั้นตอนการรักษามะเร็งที่กำลังจะมาถึง

ไม่กี่เดือนต่อมา หลุยส์บอกฉันว่าเธอกลัวการตาย ฉันเอนตัวลงที่เตียงของเธอในโรงพยาบาล วางศีรษะลงข้างๆเธอ กระซิบคำอธิษฐานและร้องเพลงของเราเบาๆ ฉันทำได้แค่จินตนาการว่าหลุยส์รู้สึกอย่างไรเมื่อเธอได้ไปนมัสการพระเยซูหน้าต่อหน้าในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น

อัครทูตเปาโลให้ความมั่นใจซึ่งปลอบประโลมใจต่อผู้อ่านของท่านที่กำลังเผชิญกับความตาย (2 คร.5:1) ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในอีกด้านของชีวิตนิรันดร์คือในโลกนี้อาจทำให้เกิดการคร่ำครวญ แต่ความหวังของเราในการมีชีวิตบนสวรรค์อยู่เป็นนิรันดร์กับพระเยซูยังคงมั่นคง (ข้อ 2-4) แม้พระเจ้าจะสร้างเราให้ปรารถนาการมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์​ (ข้อ 5-6) แต่พระสัญญาของพระองค์นั้นมีไว้เพื่อนำเราในการดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ในตอนนี้ด้วย (ข้อ 7-10)

เมื่อเราใช้ชีวิตเพื่อทำให้พระเยซูทรงพอพระทัย ในขณะที่รอคอยให้พระองค์เสด็จกลับมาหรือเรียกเรากลับบ้าน เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีในสันติสุขจากการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ได้ เราจะมีประสบการณ์อย่างไรเมื่อต้องจากร่างกายฝ่ายโลกนี้ไปอยู่กับพระเยซูในนิรันดร์กาลนั้น เราคงทำได้แค่จินตนาการ!

คุณชื่ออะไร

เจนแต่งงานใหม่หลังจากสามีคนแรกของเธอเสียชีวิต ลูกๆของสามีใหม่ไม่เคยยอมรับเธอ และในตอนนี้ที่เขาก็เสียชีวิตลงอีกคน พวกเขาเกลียดที่เธอยังอยู่ในบ้านสมัยเด็กของพวกเขา สามีได้ทิ้งสมบัติไว้เพื่อดูแลเธอ พวกลูกๆบอกว่าเธอขโมยมรดกของพวกเขา เจนกำลังท้อแท้ซึ่งก็เข้าใจได้ และเธอเริ่มขมขื่น

สามีของนาโอมีย้ายครอบครัวไปโมอับ ที่ซึ่งเขาและลูกชายสองคนเสียชีวิตลง หลายปีต่อมานาโอมีกลับมายังเบธเลเฮมโดยไม่เหลืออะไร เหลือเพียงรูธลูกสะใภ้ ชาวเมืองแตกตื่นและถามว่า “นี่น่ะหรือ นางนาโอมี” (นรธ.1:19) เธอกล่าวว่าพวกเขาไม่ควรเรียกชื่อนั้นที่แปลว่า “สุขสบาย” แต่ควรเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่า “ขมขื่น” เพราะ “เมื่อฉันจากเมืองนี้ไปฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์ พระเจ้าทรงพาฉันกลับมาตัวเปล่า” (ข้อ 20-21)

มีสถานการณ์ใดที่ทำให้ชื่อของคุณแปลว่าขมขื่นหรือไม่ คุณอาจกำลังผิดหวังกับเพื่อน ครอบครัว หรือสุขภาพที่แย่ลง คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่คุณไม่ได้รับมัน ในตอนนี้คุณจึงขมขื่น

นาโอมีกลับสู่เบธเลเฮมอย่างขมขื่น แต่เธอก็กลับมา คุณก็กลับบ้านได้เช่นกัน กลับมาหาพระเยซู พระองค์เป็นผู้สืบเชื้อสายของนางรูธซึ่งบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม และพักสงบในความรักของพระองค์

เมื่อถึงเวลา พระเจ้าทรงแทนที่ความขมขื่นของนาโอมีด้วยความชื่นชมยินดีแห่งแผนการที่สำเร็จสมบูรณ์ (4:13-22) พระองค์ทรงแทนที่ความขมขื่นของคุณได้เช่นเดียวกัน จงกลับบ้านมาหาพระองค์

เราเป็นคนแปลกถิ่น

ทุกอย่างให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในประเทศใหม่ของพวกเขา ทั้งภาษา โรงเรียน วัฒนธรรม ระบบจราจร และสภาพอากาศที่แปลกใหม่ พวกเขานึกสงสัยว่าจะปรับตัวได้อย่างไร กลุ่มคนจากคริสตจักรใกล้เคียงมารวมตัวกันเพื่อช่วยพวกเขากับชีวิตใหม่ในดินแดนใหม่ แพ็ตตี้พาคู่สามีภรรยาไปซื้อของที่ตลาดในพื้นที่เพื่อให้พวกเขาดูว่ามีอะไรขายบ้างและจะซื้อของได้อย่างไร ขณะที่พวกเขาเดินไปทั่วตลาด พวกเขาตาโตและยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นผลไม้โปรดคือทับทิมจากประเทศบ้านเกิด พวกเขาซื้อไปฝากลูกๆคนละผลและหยิบใส่มือแพ็ตตี้หนึ่งผลด้วยความขอบคุณ ผลไม้เล็กๆและเพื่อนใหม่นี้สร้างความอบอุ่นใจในดินแดนแปลกใหม่ของพวกเขา

พระเจ้าประทานกฎหมายแก่ประชากรของพระองค์ผ่านทางโมเสส ซึ่งรวมถึงบัญญัติที่ให้ปฏิบัติต่อคนต่างชาติในท่ามกลางพวกเขา “เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า” (ลนต.19:34) “จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง” พระเจ้าทรงสั่งเช่นนั้น พระเยซูทรงเรียกข้อนี้ว่าเป็นบัญญัติข้อใหญ่ข้อที่สองต่อจากการรักพระเจ้า (มธ.22:39) เพราะแม้แต่พระเจ้าเองยังทรง “เฝ้าดูคนต่างด้าว” (สดด.146:9)

นอกจากเราจะเชื่อฟังพระเจ้าด้วยการช่วยเหลือเพื่อนใหม่ของเราให้ปรับตัวกับชีวิตในประเทศของเราแล้ว ขอให้เราระลึกไว้เสมอว่าเราเองก็เป็น “คนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก” (ฮบ.11:13) แล้วเราจะยิ่งรอคอยด้วยความคาดหวังมากขึ้นในแดนสวรรค์แห่งใหม่ที่จะมาถึง

เหมือนอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา

ในวิดีโอที่ถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายนั้น นักเรียนคาราเต้สายขาววัยสามขวบเลียนแบบครูฝึกของเธอ เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวกฎของนักเรียนตามผู้นำของเธอด้วยความกระตือรือร้นและมั่นใจ จากนั้นด้วยความสุขุมและตั้งใจเจ้าตัวน้อยผู้น่ารักและเปี่ยมด้วยพลังก็เลียนแบบทุกอย่างที่ครูของเธอพูดและทำ และเธอก็ทำได้ดีเสียด้วย!

ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสว่า “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้วก็จะเป็นเหมือนครูของตน” (ลก.6:40) พระองค์บอกสาวกว่าการเลียนแบบพระองค์นั้นหมายรวมถึงการมีใจกว้าง การรัก และการไม่กล่าวโทษ (ข้อ 37-38) และแยกแยะผู้ที่พวกเขาติดตามได้ “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ” (ข้อ 39) สาวกของพระองค์ต้องเข้าใจว่ามาตรฐานนี้ทำให้พวกฟาริสีขาดคุณสมบัติเพราะพวกเขาเป็นผู้นำที่ตาบอด โดยนำผู้คนไปสู่หายนะ (มธ.15:14) และพวกเขาต้องยึดถือสิ่งสำคัญในการติดตามอาจารย์ของพวกเขา ดังนั้น เป้าหมายของผู้ติดตามพระคริสต์ก็คือการเป็นเหมือนพระเยซู จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาจะต้องใส่ใจในคำสอนของพระคริสต์เรื่องการมีน้ำใจและความรัก และปฏิบัติตามนั้น

ขณะที่ผู้เชื่อเพียรพยายามเลียนแบบพระเยซูในวันนี้ ขอให้เรามอบชีวิตให้พระอาจารย์ของเรา เพื่อเราจะเป็นเหมือนพระองค์ในความรู้ สติปัญญา และการกระทำ พระองค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราสะท้อนถึงวิถีแห่งการมีใจกว้างขวางและความรักของพระองค์ได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา